แบบฝึกหัดรักบทที่ 8

Go to download
#1

ในที่สุดก็ถึงวันจากลาจาก
นานะซบหน้าร้องไห้กับหมอน ด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง วันนี้เธอจะต้องขึ้นเครื่องบินไปฝรั่งเศสกับคุณแม่แล้ว กระเป๋าเดินทางใบใหญ่กว่าเด็กหญิงร่างน้อยถึงสองใบวางอยู่ที่ปลายเตียง เสื้อผ้าเครื่องประดับชุดชั้นในทั้งหมดและของใช้ส่วนตัวอีจิปาถะ ถูกพับเก็บไว้อย่างดี เก็บความทรงจำที่มีต่อบ้านหลังนี้ไว้ในกระเป๋า แต่กระนั้นก็มิอาจใส่มันไว้ได้จนหมดสิ้น หากยังคงเหลือสิ่งของแห่งความสุขในอดีตกระจัดกระจายอยู่ทั่วบ้าน

เตียงหลังนี้ เธอใช้มันเป็นที่นิทรามาตั้งแต่จำความได้ กลิ่นหอมละมุนจากปลอกหมอน ที่คุณแม่เพิ่งซักสะอาด เด็กหญิงสูดดมอย่างพยายามจะจดจำให้ขึ้นใจ และเตียงหลังใหญ่นี้ ก็มักจะมีเพื่อนชายที่สนิทที่สุดมานอนด้วยเป็นประจำ ในยามที่เธอหวาดกลัว เคนสุเกะจะคอยกอดเธอไว้ ปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน และร่วมกันผ่านรัตติกาลอันมืดมิดไปด้วยกัน

นานะดึงหมอนข้างมากอด สมมติว่ามันคือเคนสุเกะ หากแต่มันไม่อบอุ่นเท่า และไม่มีเสียงเต้นของหัวใจ เมื่อคิดถึงเวลาแห่งการจากลา เธอพานเจ็บขึ้นมาในอกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ดวงใจเหมือนมีรูโหว่ เธออยากให้เคนสุเกะมาคอยเติมเต็มอยู่ข้างกาย ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น

“นานะจัง ลูกเตรียมตัวเสร็จหรือยัง แม่โทร.เรียกแท็กซี่ไว้แล้วนะ”

ซาเอริชะโงกมาในชุดสูทเรียบร้อย แต่งหน้าอ่อนๆ ผมหยักศกเหมือนนานะสยายบนแผ่นหลัง เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ตอบ แต่กำลังร้องไห้อย่างหนัก หล่อนก็เกิดสงสารลูกขึ้นมาจับใจ

“นานะจังจ๊ะ อีกประเดี๋ยวเราต้องไปแล้วนะ เข้มแข็งไว้สิจ๊ะ เราไม่ได้ไปแล้วไปลับนี่ ลูกไปอยู่กับคุณยายที่นั่นแค่ปีเดียวเอง” กล่าวพลางลูบศีรษะ

ซาเอริเกือบจะลืมไปแล้วเชียว ว่านานะเป็นเด็กขี้แย อ่อนแอและชอบเก็บตัว ถ้าเกิดไม่มีเคนสุเกะ เจ้าหนูน้อยข้างบ้าน นานะก็คงจะเป็นเด็กแบบนั้นอยู่ร่ำไป

เด็กชายเคนสุเกะเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์สำหรับนานะในยามฤดูใบไม้ผลิ อบอุ่นและแจ่มใส ปลุกให้พรรณไม้ที่จำศีลในฤดูหนาวได้ตื่ผลิดอกนอย่างเบิกบาน และทำให้เธอกล้าที่จะเข้มแข็ง และดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้แสงตะวัน

เคนสุเกะเป็นเหมือนพี่ชาย เป็นเพื่อนเล่น และเป็นส่วนดีส่วนหนึ่งในชีวิตของนานะ ในเวลาที่ซาเอริต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูก และปล่อยให้ลูกสาวอ้างว้างเดียวดาย แต่ก็มีเด็กชายข้างบ้านนี่ละ ที่คอยยื่นมือมาโอบอุ้มประคับประคองจิตใจที่เหว่ว้าของนานะ ดูแลนานะแทนหล่อน ยามที่ฝนตกฟ้าคะนอง แม้อยากกลับไปดูลูกใจแทบขาด รู้ดีว่าเธอกลัวเสียงฟ้าผ่าเป็นที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะน้ำหนักของงานที่หล่อนแบกไว้บนบ่า

แต่ทว่าหล่อนก็เบาใจ เพราะอย่างน้อยก็มีเคนสุเกะอยู่เคียงข้าง เวลาที่หล่อนกลับมาถึงบ้านในตอนเช้า ก็จะพบว่าเด็กน้อยสองคนนอนหลับอุตุกอดกันอยู่บนเตียง ด้วยใบหน้าที่มีความสุข ใบหน้ายามหลับช่างไร้เดียงสา จนเกินกว่าจะคิดเกินเลยได้ หล่อนเฝ้าดูด้วยรอยยิ้ม บางครั้งเด็กทั้งสองก็ยิ้มพร้อมกัน ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองกำลังจูงมือท่องไปในดินแดนแห่งความฝันร่วมกันอย่างไรอย่างนั้น

คิดถึงตรงนี้ ซาเอริก็ถอนหายใจ หากปราศจากเคนสุเกะแล้ว ดอกไม้ดอกนี้จะเ!่ยวเฉาลงสักเท่าไรนะ

“คุณแม่คะ เราไม่ไปไม่ได้เหรอ หนูอยากอยู่ที่นี่ หนูไม่อยากไปฝรั่งเศส” พูดทั้งน้ำตานองหน้า

ซาเอริหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า ค่อยๆ เช็ดดวงแก้มใส พลางกล่าวเสียงนุ่มนวล

“นานะจัง เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ แม่รู้ว่าลูกรักญี่ปุ่น” แม่ของเธอเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “แล้วลูกก็รักเคนจัง”

“แม่..” เด็กหญิงตัวน้อยคราง แม่ยิ้ม

“แม่น่ะอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ ทำไมแม่จะดูไม่ออก แต่ว่านะลูก” หล่อนดึงลูกมาสวมกอด กล่าวต่อ “ชีวิตคนเราไม่ได้มีที่นี่ที่เดียว ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องออกไปค้นหา อดีตนั้นแม้สวยงาม แต่เราจะอยู่กับมันไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”

นานะเงยหน้า ดวงตาเริ่มมีประกายเข้มแข็งขึ้น เธอหยุดร้องไห้

“ตกลงค่ะ ไปก็ไป คุณแม่อยู่ที่ไหน นานะก็จะอยู่ด้วย ปีเดียวเท่านั้น แล้วเราก็จะกลับมา ใช่ไหมคะแม่”

“ใช่จ๊ะ แค่ปีเดียว แต่ว่าเมื่อหนูได้ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่แน่ว่าลูกอาจติดใจจนไม่อยากกลับมาอีกเลยก็ได้นะ” ซาเอริขยี้ผมลูกสาวอย่างรักใคร่


ที่หน้าบ้าน สัมภาระทั้งหมดถูกขนไปเก็บที่หลังรถแท็กซี่หมดแล้ว ประตูบ้านใส่กุญแจลั่นดาลอย่างแน่นหนา นานะมองบ้านที่เธออาศัยพักพิงตั้งแต่เกิดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เดินไปให้แม่จับมือ นอกจากเธอกับคุณแม่แล้ว ครอบครัวของเคนสุเกะก็ออกมาส่งสองแม่ลูกด้วย

แม่ของเคนสุเกะสวมกอดร่ำลาซาเอริ ต่อจากนั้นก็ก้มลงมากอดและหอมแก้มนานะ พ่อของเคนสุเกะบอกลาอยู่ห่างๆ ท่าทีเคร่งขรึมไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็มีความอ่อนโยนจากดวงตาเหมือนเคนสุเกะไม่ผิดเพี้ยน

“โชคดีนะนานะจัง อยู่ฝรั่งเศสแล้วก็อย่าเอาแต่ขี้แยหละ ต้องเข้มแข็งไว้นะ อย่าให้เด็กผมทองที่นั่นรังแกเอาได้ รู้มั้ยจ๊ะ” แม่ของเคนสุเกะสอนสั่ง
“ค่ะคุณป้า แล้วขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ คุณป้าน่ะเหมือนกับเป็นคุณแม่คนที่สองของนานะเลย หนูรักคุณป้าค่ะ”

“โถๆ ป้าก็รักหนูนะจ๊ะ” หล่อนหอมแก้มเด็กหญิงทั้งสองข้างอีกรอบ ก่อนจะยืนขึ้น

“เอ่อ.. คุณป้าคะ แล้วเคนจังล่ะคะ” ถามเสียงอ่อย

สองสามีภรรยามองหน้ากัน มีทีท่ากระอักกระอ่วน

“คือว่า ป้าก็ลองเรียกแกแล้ว แต่เคนจังไม่ยอมออกมาจากห้องเลย ล็อคห้องขังตัวเองมาสามวันแล้วละ ป้าเองก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว”


ตั้งแต่ที่เคนสุเกะทราบเรื่อง ตอนแรกเด็กชายโมโหโกรธา ร้องเอะอะโวยวายเสียลั่นบ้าน ทำเข้าของแตกกระจัดกระจายไปหลายชิ้น จากนั้นก็ตรงไปยังบ้านของนานะ แต่ปรากฏว่าไม่เจอใคร เพราะซาเอริพานานะไปลาออกกับอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียน ดังนั้นเด็กชายจึงนั่งแหมะเฝ้ารออยู่ที่หน้าบ้าน ไม่ว่าแม่ของเขาจะร้องเรียก หรือฉุดกระชากลากถูอย่างไร เคนสุเกะก็ไม่ยอมขยับก้นลุกไปไหนแม้แต่เซ็นเดียว

พอนานะกับซาเอริมาถึง เด็กชายก็ถามซาเอริอย่างร้อนรน แต่พอได้ทราบจากปากของเจ้าตัว เขาถึงกับหน้าถอดสียืนตัวแข็ง เขาหันมามองนานะ ตาแดงก่ำ

เคนจังอย่าร้องไห้สิ ถ้าเธอร้อง เค้าก็จะร้อง..

“นานะจัง.. อย่าไปนะ”

ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมา ขอบตาร้อนผ่าว อยากจะพูดว่า เคนจังจ๋า เค้าเองก็ไม่อยากไป เค้าอยากอยู่กับเคนจัง.. แต่ทว่าปากน้อยๆ กลับเอ่ยเพียง

“ขอโทษ..”

เพราะเธอไม่อาจทำตามเสียงเรียกในหัวใจได้ นานะต้องอยู่กับแม่ เด็กหญิงไม่อาจใช้วีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงลำพังได้ ถ้าหากปราศจากมารดา

“ทำไมนานะจัง เธอมาอยู่กับเคนก็ได้นี่ ทำไม”

เขาดึงดัน พูดเอาแต่ใจตัวเองอย่างกับเด็กๆ แม้จะรู้เหตุผลของผู้ใหญ่ดี เพราะเขาก็เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แต่จิตใจแบบเด็กๆ กำลังต่อต้านอย่างไม่มีเหตุผล

“หนูเคนจ๊ะ คงไม่ได้หรอกจ้ะ น้าคงไม่อาจรบกวนครอบครัวของหนูได้ น้าฝากนานะไว้ที่นี่ไม่ได้หรอก แกจะต้องไปเรียนที่ฝรั่งเศส ไปอยู่กับคุณยาย แต่ว่าน้าสัญญานะ ว่าจะให้นานะจังส่งอีเมล์มาหาหนูทุกอาทิตย์”

ซาเอริช่วยพูด หล่อนดึงเด็กชายซึ่งเอ็นดูจนเหมือนกับเป็นพี่น้องของนานะมากอดประโลม แต่เคนสุเกะก้าวถอยหลัง จ้องมองสองแม่ลูกจนปากสั่นระริก

“ไม่ๆๆ! ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คุณน้าแกล้งผม นานะเกลียดผม ทุกคนไม่อยากให้ผมอยู่กับนานะ ผมเกลียดทุกคน!! ฮือๆ”

เด็กน้อยร่างบางราวกับเด็กผู้หญิงปิดหน้า หันหลังวิ่งหนีกลับเข้าบ้านตัวเอง

“เคนจัง!” นานะร้องไห้โฮ รู้สึกเหมือนดวงใจถูกฉีกกระชากหายไปกับเขา เด็กชายคนที่เธอรักตะโกนใส่หน้าว่าเกลียด นี่คือคำพูดที่เด็กหญิงไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด แม้จะตายก็ไม่อยากได้ฟัง..


“นานะจัง” เสียงของคุณแม่ดึงเธอกลับสู่โลกปัจจุบัน มืออบอุ่นของแม่วางตรงหัวไหล่

“แม่รู้ว่าลูกเสียใจที่เคนจังไม่ยอมออกมาส่ง แต่แม่เชื่อว่าเคนจังเขาไม่ได้เกลียดหนูอย่างที่พูดหรอกนะ เคนจังแค่ทนรับความจริงไม่ได้ ก็เลยพาลงอนพวกเรา แต่ว่า” แม่บีบไหล่ “เวลาน่ะจะช่วยรักษาให้เคนจังหายเป็นปกติเอง แค่ปีเดียวเท่านั้น ถ้าเคนจังรักลูกจริงๆ เขาต้องเข้าใจลูกแน่ๆ จ้ะ”

นานะก้มหน้าเศร้า เธออยากเห็นหน้าเคนสุเกะเป็นครั้งสุดท้าย อยากบอกเขาว่าเสียใจ..

“คุณป้าคะ” นานะหันไป “หนูฝากบอกเคนจังด้วยนะคะ บอกเคนจังว่าอย่านอนดึก อย่าเล่นแต่คอมพ์ อย่าอ่านหนังสือในห้องมืดๆ อย่าเขี่ยเนื้อออกจากจาน อย่าแคะขี้มูกต่อหน้าคนเยอะๆ อย่าให้เคนจังนอนไม่ห่มผ้า อย่าให้..”

เด็กน้อยกล่าวต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสิ่งที่เคนสุเกะชอบทำและไม่ชอบทำ บางอย่างแม่ของเด็กชายยังแปลกใจ แม้แต่หล่อนเองก็ยังไม่รู้มาก่อน นานะเป็นเด็กช่างจดจำและใส่ใจต่อเคนสุเกะมาก ไม่ว่ารายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน เธอจำได้อย่างขึ้นใจ

คุณป้าคนสวยย่อตัวลงมากุมมือเด็กหญิงตัวน้อย พลางยิ้มให้อย่างอบอุ่น

“ทีนี้ป้ารู้แล้วละจ้ะ ว่าเคนสุเกะเป็นคนสำคัญสำหรับนานะขนาดไหน เอาเถอะจ้ะ หนูไม่ต้องเป็นห่วงนะ ป้าจะดูแลเคนจังของหนูอย่างดีเหมือนที่หนูห่วงใย ป้าดีใจนะที่เคนจังมีเพื่อน ไม่สิ แฟนอย่างหนู เด็กคนนี้นิสัยดื้อรั้น ไม่ว่าใครก็เอาไม่อยู่ ถ้าหากไม่มีนานะแล้วละก็ เคนสุเกะก็อาจจะกลายเป็นอันธพาลตั้งแต่เล็กไปแล้วก็ได้”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” นานะบีบมือ

“ได้เวลาแล้วนานะจัง เราไปกันเถอะจ้ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเครื่อง” ซาเอริเร่ง

หลังจากสองแม่ลูกเข้าไปนั่งในแท็กซี่ ปิดประตู คนขับสตาร์ทเครื่องและแล่นไป นานะถอนหายใจแล้วซบกับไหล่มารดา

“อย่าเพิ่งไป!”

เสียงตะโกนดังเข้ามาถึงข้างใน นานะรีบหันกลับไปดู แล้วทันใดนั้นดวงตากลมก็เบิกกว้างและสดใสเป็นประกาย

“จอดรถก่อนค่ะ จอดรถก่อน!” บอกคนขับอย่างลนลาน แล้วเปิดประตูรถ วิ่งเข้าไปหาใครคนหนึ่ง

“เคนจัง! เค้านึกว่าเคนจังจะไม่มาส่งแล้วซะอีก!”

เด็กชายยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองพลุกพล่านจนพูดไม่ออกไม่พักใหญ่

“ต้องมาสิ ต่อให้เป็นตายร้ายดียังไง เคนก็ต้องมาให้ได้” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาจนได้ พร้อมกับรอยยิ้มแบบเดิมๆ ที่นานะคุ้นเคย

ลุงกับป้าและคุณแม่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆ ปล่อยให้เด็กสองคนได้มีโอกาสร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย

นานะและเคนสุเกะมองตากัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากก็รู้ใจ แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กันอย่างสดใส เหมือนตะวันยิ้มกับท้องฟ้าคราม เหมือนทุ่งดอกไม้โปรยยิ้มกับผืนหญ้าเขียวจี

“สัญญานะว่าจะคิดถึงเค้า สัญญานะว่าจะโทร.หาเค้าทุกวัน สัญญา..” กล่าวเสียงสั่นเครือ

“แน่นอน เคนสัญญา เคนจะคิดถึง เคนจะโทร.หา ไม่ว่าจะยังไง”

เด็กชายถือกล่องสังกะสีอยู่ใบหนึ่ง ยื่นให้เธอ เด็กหญิงไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร แต่ก็รับมา เธอประคองมันไว้ด้วยสองมือ เคนสุเกะกุมมือเธอไว้อีกชั้น

“นี่คือตัวแทนของเคน ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ของสิ่งนี้จะเชื่อมดวงใจของเราไว้ด้วยกัน ไม่ว่าเราสองคนจะอยู่คนละมุมโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้หัวใจของเราแยกห่างกันได้”

เคนสุเกะกล่าวอย่างจริงใจที่สุด แววตามุ่งมั่นเป็นประกาย คำพูดเมื่อสักครู่ เปรียบประดุจคำบอกรักที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ นานะยิ้มทั้งน้ำตา

“เคนจัง ขอบใจนะ ขอบใจมากๆ นานะไม่รู้จะพูดยังไง ถึงจะให้เคนจังรู้ ว่าเค้ารักเคนจังมากแค่ไหน เค้าไม่มีอะไรจะให้เคนจังเลย ของทุกชิ้นอยู่ในกระเป๋าหมด นานะเหลือแต่สิ่งนี้ ที่พอจะมอบให้เคนจังได้”

“อะไรเหรอ” เด็กชายถามเสียงกระซิบ มือของทั้งคู่ที่ถือกล่องอยู่กุมกันแน่น

“มันเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิตของนานะ” กระซิบตอบ “และเค้าสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว มันคือจูบแรกของนานะยังไงละ”

แล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็โน้มหน้าเข้ามา แล้วเคลื่อนริมฝีปากของตนเข้าไปประกบกับปากของเขาไว้ ไม่เร็วแบบแตะผ่านๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเนิ่นนานอย่างอ้อยอิ่ง เป็นจูบแบบเด็กๆ อย่างไม่ประสีประสา แต่กระนั้นก็ทำให้หัวใจของเคนสุเกะพองโตอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เด็กชายยืนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด

เพียงชั่วประเดี๋ยว แต่เหมือนนานเป็นนิรันดร์ นานะเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก ว่าริมฝีปากของเคนสุเกะจะอ่อนนุ่มถึงขนาดนี้ เด็กหญิงหลับตาพริ้มรับความนิ่มนวล ก่อนจะถอนจุมพิตช้าๆ

นานะหน้าแดงก่ำจนร้อนผ่าว จุมพิตนั้นสอนให้รู้ว่าเสียงหัวใจเต้นถี่นั้นเป็นอย่างไร และจูบแรกยังสอนให้รู้อีกว่า การตรึงหัวใจไว้ด้วยกันนั้นเป็นเช่นไร

เด็กทั้งสองคนบอกลากัน กอดกันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วซาเอริก็จูงเด็กหญิงไปขึ้นรถ ขณะที่แท็กซี่เลี้ยวไปยังทางด่วนพิเศษหมายเลขสาม ออกจากย่านชานเมืองรอปปองงิ เพื่อตรงไปยังสนามบินนาริตะ นานะก็เปิดกล่องสังกะสีออก ทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เด็กหญิงถึงกับน้ำตาร่วงผล็อย ซาเอริที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างอ่อนโยนว่า

“เคนจังให้อะไรลูกเหรอจ๊ะ บอกแม่ได้มั้ย”

นานะปาดน้ำตา แต่ก็ยังคลี่ยิ้มออกมาได้ เธอชูสิ่งนั้นให้แม่เห็นชัดๆ มันเป็นตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลหลุดรุ่ยมอมแมม มีรอยปะชุนไปทั่ว

“เท็ดดี้จังค่ะแม่ แม่จำได้มั้ยคะ ของขวัญวันเกิดเคนจังเมื่อปีที่แล้ว”

ซาเอริทำท่าเหมือนนึกออก ร้องอ้อแล้วกล่าวว่า

“ใช้ตุ๊กตาที่ลูกซื้อให้เคนจังใช่มั้ย แม่จำได้แล้ว แต่ทำไมมันถึงได้เยินอย่างนั้นล่ะจ๊ะ”
“ก็.. ฮิๆ ขอไม่บอกได้มั้ยคะ ความลับค่ะ”

ซาเอริเห็นลูกสาวตัวน้อยยิ้มแย้มได้อย่างเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยจี๋เอวแกล้ง

“แหม ตัวแค่นี้ก็หัดมีความลับกับแม่แล้วนะ”

“โอ๊ยแม่ขาแม่ อย่าจั๊กจี๊หนูสิ พอแล้วๆ” เธอหัวเราะกิ๊กกั๊ก ดิ้นไปดิ้นมา

“โอเค แม่ไม่ถามก็ได้ ก็เก็บไว้เป็นความลับระหว่างลูกกับแฟนของลูกเถอะจ้ะ ฮิๆ”

ซาเอริเลยเปลี่ยนมาบีบปลายจมูกลูกสาว นานะมีอาการเขินอายจนหน้าแดงแป๊ด

ตุ๊กตาหนีสุดโทรมจนสมควรจะอยู่ในถังขยะมากกว่า แต่ก็เป็นสิ่งที่เคนสุเกะมอบให้แทบดวงใจของเขาด้วยนั้น มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้

วันเกิดของเคนสุเกะเมื่อปีที่แล้ว นานะขอเงินแม่ซื้อตุ๊กตาหมีตัวนี้ให้เขา แต่ปรากฏว่าเคนสุเกะไม่ค่อยได้ปลื้มกับของขวัญชิ้นนี้นัก แถมยังต่อว่าเธอ หาว่าซื้อของเล่นผู้หญิงๆ มาให้เขาเป็นการดูถูก นานะน้อยใจเอามากๆ จนเริ่มโมโห เด็กเรียบร้อยอย่างเธอกลับคว้าเอาตุ๊กตาหมีคืนมา และปาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่เลี้ยงสุนัขดุไว้ ได้ยินเสียงสุนัขกำลังฟัดตุ๊กตา เธอร้องไห้ หลังจากนั้นก็งอนไปสามวัน และเธอก็ไม่ได้เห็นเจ้าเท็ดดี้จังอีกเลย

แต่ว่ามีเรื่องแปลกตรงที่ว่า วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เธอปาตุ๊กตาทิ้ง เคนสุเกะไปโรงเรียนพร้อมกับผ้าพันแผล เด็กหญิงตัวน้อยอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แม้จะงอนเขาอยู่ก็ตาม แต่เด็กชายก็ทำชักสีหน้า นิ้วถูปลายจมูก ตวาดใส่เธอว่า ทะเลาะกับหมามามั้ง! นานะหน้าเสีย คิดว่าเคนสุเกะพูดไปอย่างนั้นเพราะความโมโห ก็เลยงอนไม่พูดไม่จากับเขาต่อไป

นานะกอดตุ๊กตาหมีสภาพยับเยินไว้แนบอกเป็นของรักของหวง ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าเคนสุเกะไปได้แผลพวกนั้นมาได้อย่างไร และรู้ว่าตุ๊กตาตัวนี้ก็ไปอยู่ที่ไหนมา นับตั้งแต่วันนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้
ใช้ร่วมกัน:

Tokyo

Tokyo is the capital of Japan.